ในปัจจุบันการติดโซลาร์ (Solar) มี 3 ระบบ คือ ระบบออนกริด (On Grid), ระบบออฟกริด (Off Grid), ระบบไฮบริด (Hybrid Grid)
1. ระบบออนกริด (On Grid)
เป็นระบบโซลาร์ (Solar) ที่ใช้ทั้งไฟจากการไฟฟ้า และไฟฟ้าที่ผลิตได้จากแผงโซลาร์ เหมาะกับบ้านที่ใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลากลางวัน ไม่มีแบตเตอรี่ ผลิตไฟฟ้าได้แล้วใช้เลย และสามารถขายไฟคืนให้การไฟฟ้าได้ (สำหรับไฟ 1 เฟส : ระบบไม่เกิน 5kW. และ สำหรับไฟ 3 เฟส : ระบบไม่เกิน 10 kW.) ซึ่งก่อนติดตั้งโซลาร์ (Solar) ต้องขออนุญาตการไฟฟ้าก่อน ในปัจจุบันระบบนี้นิยมติดมากที่สุด เพราะคืนทุนเร็วที่สุด ต้นทุนถูกกว่าระบบไฮบริด (Hybrid) ซึ่งแบตเตอรี่ยังมีราคาสูงทำให้คืนทุนช้ากว่า
2. ระบบออฟกริด (Off Grid)
ระบบโซลาร์ (Solar) แบบออฟกริดนี้ไม่เชื่อมต่อกับการไฟฟ้า หรือเรียกว่าเป็นระบบ Stand Alone ไม่ต้องขออนุญาตจากการไฟฟ้า เหมาะกับสถานที่ที่ไฟจากการไฟฟ้าไปไม่ถึง เช่น พื้นที่ห่างไกล บนดอยสูง ต่างๆ เป็นต้น
ระบบโซลาร์ (Solar) แบบออฟกริดนี้ไม่เชื่อมต่อกับการไฟฟ้า หรือเรียกว่าเป็นระบบ Stand Alone ไม่ต้องขออนุญาตจากการไฟฟ้า เหมาะกับสถานที่ที่ไฟจากการไฟฟ้าไปไม่ถึง เช่น พื้นที่ห่างไกล บนดอยสูง ต่างๆ เป็นต้น
3. ระบบไฮบริด (Hybrid Grid)
ระบบโซลาร์ (Solar) แบบไฮบริดนี้เป็นส่วนผสมระหว่างระบบ Off Grid และ On Grid คือ มีการใช้ไฟจากทั้งการไฟฟ้า ไฟที่ผลิตได้จากแผงโซลาร์ และไฟจากแบตเตอร์รี่ ในกรณีที่แผงโซลาร์ผลิตกระแสไฟฟ้ามากเกินกว่าการใช้งาน แบตเตอรี่จะกักเก็บไฟ และสามารถดึงมาใช้ในช่วงเวลากลางคืน แต่ระบบไฮบริดจะไม่สามารถขายกระแสไฟให้กับภาครัฐได้ ปัจจุบันระบบแบตเตอรี่ที่มีมาตรฐาน และมีความปลอดภัย ยังมีราคาสูงมาก ทำให้มีระยะเวลาคืนทุนนาน จึงยังไม่คุ้มค่ากับการลงทุน
ระบบโซลาร์ (Solar) แบบไฮบริดนี้เป็นส่วนผสมระหว่างระบบ Off Grid และ On Grid คือ มีการใช้ไฟจากทั้งการไฟฟ้า ไฟที่ผลิตได้จากแผงโซลาร์ และไฟจากแบตเตอร์รี่ ในกรณีที่แผงโซลาร์ผลิตกระแสไฟฟ้ามากเกินกว่าการใช้งาน แบตเตอรี่จะกักเก็บไฟ และสามารถดึงมาใช้ในช่วงเวลากลางคืน แต่ระบบไฮบริดจะไม่สามารถขายกระแสไฟให้กับภาครัฐได้ ปัจจุบันระบบแบตเตอรี่ที่มีมาตรฐาน และมีความปลอดภัย ยังมีราคาสูงมาก ทำให้มีระยะเวลาคืนทุนนาน จึงยังไม่คุ้มค่ากับการลงทุน